ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขันในปี 2564
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มฟื้นตัว ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคา
สภาวะเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลายหลากจากการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่จัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่มากนักจากสถานการณ์ดังกล่าวเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น เนื่องจากเป็นบริการพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้บริโภค โดยในปี 2564 แม้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องเจอกับความท้าทายตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3 แต่รายได้รวมของอุตสาหกรรมยังคงมีมูลค่ารวม 320,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2 อันเป็นผลจากมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค ประกอบกับในช่วงไตรมาสที่ 4 รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยรวมในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 96 ล้านราย หรือขยายตัวร้อยละ 6 จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังซื้อที่อ่อนตัว ทำให้ผู้ให้บริการยังคงเน้นการแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายส่วนแบ่งการตลาดโดยนำเสนอแพ็กเกจการใช้งานข้อมูลแบบไม่จำกัด (unlimited data plan) ในอัตราค่าบริการต่ำทั้งในตลาดผู้ใช้บริการระบบรายเดือนและผู้ใช้บริการระบบเติมเงิน จึงเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน (ARPU) ของอุตสาหกรรมให้ลดลง
การให้บริการและพัฒนาขยายโครงข่าย 5G เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในทุกภาคส่วน
ในปี 2564 ผู้ให้บริการมุ่งเน้นสร้างการรับรู้เรื่องเทคโนโลยี 5G และขยายโครงข่ายในพื้นที่สำคัญที่มีความต้องการของผู้บริโภคสูง เช่น พื้นที่ตัวเมืองใน 77 จังหวัด และพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยในปีนี้เริ่มมีผู้ใช้บริการ 5G โดยรวมแล้วกว่า 4 ล้านราย จากปัจจัยความต้องการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ที่มีความเร็วสูง ตลอดจนการทยอยเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ ที่รองรับเทคโนโลยี 5G ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น และการพัฒนาบริการในรูปแบบประสบการณ์ที่สมจริง AR และ VR (Augmented Reality and Virtual Reality) เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับจากเทคโนโลยี 5G แก่ลูกค้า นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยี 5G มาพัฒนาใช้งานในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น การผลิตและโรงงาน (Smart Manufacturing & Smart Factory) อสังหาริมทรัพย์ (Smart Property) และการขนส่งโลจิสติกส์ (Smart Transportation & Logistics)
ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากความต้องการของผู้บริโภคในการทำงานและเรียนจากที่บ้าน
ในปีที่ผ่านมา ตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีรายได้เติบโตกว่าร้อยละ 13 และมีอัตราการเข้าถึงร้อยละ 57 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดในประเทศไทย ตามความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาเป็นการทำงานและเรียนจากที่บ้าน อย่างไรก็ตาม สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลักดันให้ผู้ให้บริการยังคงเสนอขายแพ็กเกจระดับราคาต่ำเริ่มต้นที่ประมาณ 400 บาทต่อเดือน และยังมีการออกแพ็กเกจเสนอส่วนลดแก่ลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าที่ย้ายค่ายอินเทอร์เน็ตบ้าน ส่งผลให้ภาพรวมรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อเดือน (ARPU) ของอุตสาหกรรมลดลงจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ ผู้ให้บริการต่างมุ่งเน้นไปที่การต่อยอดการบริการด้านคอนเทนต์ บริการเสริม และการผูกสัญญาการให้บริการระยะยาว 24 เดือน เพื่อรักษาฐานลูกค้า รวมถึงให้ความสำคัญกับคุณภาพบริการเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า อาทิ การรับประกันคุณภาพการบริการภายใน 24 ชั่วโมง และการดำเนินการติดตั้งภายใน 24 ชั่วโมง
ขยายโอกาสสู่ธุรกิจดิจิทัลอื่นๆ ทั้งสำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร
ปัจจุบัน ธุรกิจการให้บริการลูกค้าองค์กรมีการเติบโตสูง ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ต่างปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น อันเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มจากบริการด้านคลาวด์ บริการความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Cyber security) งานระบบเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Things หรือ IoT) เนื่องจากบริการเหล่านี้มีคู่ค้าระดับโลกจากต่างประเทศพร้อมร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย จึงเป็นโอกาสให้ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วสามารถสร้างความร่วมมือเพื่อผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโอกาสลงทุนและขยายผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรองรับการปรับตัวของผู้บริโภคเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ที่ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น บริการด้านการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นต้น
แนวโน้มในปี 2565
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 หลังการคลายมาตรการต่างๆ โดยในเดือนกรกฎาคม 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของปี 2565 จะเติบโตที่ประมาณร้อยละ 4 จากการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2564 คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยซึ่งเป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในประเทศไทย จากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเริ่มมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาฟื้นตัว ปัจจัยดังกล่าวจึงน่าจะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้ของกลุ่มอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยรวม
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนจากการกลายพันธุ์ของโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศ สภาวะการแข่งขันด้านราคาจึงอาจเป็นสิ่งท้าทายต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากผู้บริโภคย่อมพยายามมองหาอัตราค่าบริการที่คุ้มค่าที่สุด
เทคโนโลยี 5G มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งด้านการขยายโครงข่ายและแพคเกจบริการ 5G
ในปี 2565 การเข้าถึงเทคโนโลยี 5G คาดว่าจะขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลางมากขึ้น โดยจะมีมือถือรุ่นที่รองรับเทคโนโลยี 5G ออกสู่ตลาดมากขึ้นในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ตลาดผู้ใช้บริการ 5G มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ให้บริการน่าจะใช้กลยุทธ์ออกแพคเกจบริการ 5G ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าระดับกลางมากขึ้น อันจะส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน (ARPU) ในกลุ่มลูกค้าที่ใช้งาน 5G ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากกลุ่มลูกค้าทั่วไปแล้ว เทคโนโลยี 5G จะทวีความสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ อุตสาหกรรมเกษตร ขนส่ง การผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ อันจะเป็นการขยายโอกาสเชิงพาณิชย์ของบริการ 5G สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร ขณะที่ผู้ให้บริการ 5G มีแนวโน้มที่จะออกโซลูชั่นและบริการ 5G ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ 5G Private network, 5G MEC, 5G Network slicing
ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงยังคงทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง
ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านในประเทศไทยยังคงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจุบัน อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบ้านต่อจำนวนครัวเรือนในประเทศไทย อยู่ที่ร้อยละ 57 แสดงให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่รอบนอก ประกอบกับปัจจัยบวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับราคาเริ่มต้นของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านที่อยู่ในระดับเข้าถึงง่าย รวมถึงแนวโน้มการออกแพ็กเกจที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านร่วมกับสินค้าและบริการอื่นๆ จำพวกอุปกรณ์ IoT (internet of things) และแพ็กเกจการให้บริการโฮมโซลูชั่น เช่น การควบคุมระบบความปลอดภัย และการควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตผู้บริโภคแบบใหม่ (New normal) รวมถึงการให้บริการโดยเน้นภาพลักษณ์การบริการที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค น่าจะ ทำให้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2565
สำหรับภาพรวมการแข่งขันด้านราคาในปีหน้าคาดว่ายังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยระดับราคาเริ่มต้นของแพ็กเกจจะอยู่ที่ 399 บาทต่อเดือน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ยังอ่อนตัว ทั้งนี้ ผู้ให้บริการจะยังคงแข่งขันกันด้วยการสร้างความแตกต่างในการให้บริการ อาทิ การนำเสนอแพ็กเกจด้วยสัญญาบริการ ระยะเวลา 24 เดือนในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น รวมถึงการออกสินค้าที่มีความหลากหลายและการให้ส่วนลดที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และป้องกันการสูญเสียฐานลูกค้า เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมต่อไป
การขยายตัวของธุรกิจด้านคลาวด์และไอซีที
แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับนโยบายการทำงานที่บ้าน ทำให้พนักงานต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์และโครงข่ายเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจคลาวด์ (Could) การบริการความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Cyber security) งานระบบเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Things หรือ IoT) และการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (IT Solution Service) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และอีกปัจจัยที่หนุนการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ คือ การประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งผลให้หลายองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลทางเทคโนโลยี และเร่งลงทุนในระบบความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และการเปิดประเทศทำให้ธุรกิจต่างๆ ทยอยฟื้นตัวและกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ส่งผลให้ในปี 2565 ผู้ให้บริการน่าจะยังคงมุ่งเสริมสร้างความแข็งแรงของธุรกิจเหล่านี้ โดยใช้กลยุทธ์จับมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากขึ้น อันจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป